พบพืชชนิดใหม่ของโลก “โสกเหลือง” พืชหายากมีถิ่นกระจายพันธุ์ในภาคเหนือของประเทศไทย
การค้นพบพืชชนิดใหม่ของโลก ‘โสกเหลือง’ เริ่มต้นเมื่อ นายวิทยา ปองอมรกุล นักพฤกษศาสตร์พื้นบ้าน (Ethnobotanist) ขององค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ ได้ทำการศึกษาวิจัยภูมิปัญญาพื้นบ้านและสำรวจการใช้ประโยชน์จากพืชของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา ในการวิจัยในท้องที่อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้พบกับชาวบ้านชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กำลังนำฝักอ่อนของพืชวงศ์ถั่ว (Fabaceae) ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับฝักของพืชสกุลโสกน้ำ โสกเหลือง หรือศรียะลา (Saraca) แต่ในขณะนั้น ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นชนิดใด มาย่างไฟ เพื่อรับประทานเมล็ดภายในฝัก ทางคณะจึงได้สอบถามและทราบชื่อท้องถิ่นของพืชชนิดนี้ว่า ‘ตะนา’ (ภาษากะเหรี่ยง) นอกจากการนำฝักมาย่างไฟแล้ว ยังสามารถนำเมล็ดมาต้มและนำไปตำเป็นส่วนประกอบของน้ำพริกรับประทานได้ นอกจากนี้ เปลือกต้นของพืชชนิดนี้ ยังใช้เป็นสีย้อมผ้า ให้สีแดง
ต่อมา คณะวิจัยซึ่งประกอบด้วย นายวิทยา ปองอมรกุล ดร.ประทีป ปัญญาดี นายนัทธี เมืองเย็น นักพฤกษศาสตร์จากองค์การสวนพฤกษศาสตร์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อังคณา อินตา จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ร่วมกันศึกษาและตรวจสอบลักษณะของพืชชนิดนี้อย่างละเอียด จึงพบว่าเป็นพืชชนิดใหม่ของโลก และได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชชนิดนี้ว่า Saraca thailandica Pongamornkul, Panyadee & Inta มีความหมายว่า พืชแห่งประเทศไทย เรียกชื่อไทยว่า โสกเหลือง หรือ โสกเหลืองแม่เมย โดยได้ตีพิมพ์การค้นพบนี้ในวารสารพฤกษศาสตร์ไทย (Thai Journal of Botany) ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 หน้า 29–36
โสกเหลืองพบกระจายตามธรรมชาติบริเวณริมน้ำ ตามป่าดิบแล้งและป่าดิบเขา ที่ความสูง 1,000–1,400 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ปัจจุบันพบเฉพาะในประเทศไทย ในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ แต่อาจมีการกระจายพันธุ์ในบริเวณชายแดนฝั่งประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นพืชที่เหมาะแก่การปลูกสำหรับฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณต้นน้ำในพื้นที่สูงอีกชนิดหนึ่ง นอกจากจะได้ประโยชน์ในเรื่องของพื้นที่ป่าให้คงความอุดมสมบูรณ์แล้ว เมล็ดยังสามารถนำมาเป็นอาหารได้อีกด้วย
การค้นพบครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เป็นการค้นพบที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาต่อยอดในการอนุรักษ์ ศึกษาวิจัย เพื่อการขยายผลสู่การนำไปใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในอนาคตอย่างมีคุณค่าและยั่งยืน